WTO นับถอยหลังสู่การเริ่มบังคับใช้ความตกลงว่าด้วยการอุดหนุนประมง ระยะที่ 1
- pmtwmocgoth
- Jul 16
- 1 min read
Updated: Jul 17

ในปัจจุบันมีสมาชิกขององค์การการค้าโลก (WTO) จำนวน 105 รายที่ได้ให้สัตยาบันความตกลงว่าด้วยการอุดหนุนประมง ซึ่งเป็นผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีองค์การการค้าโลกสมัยสามัญครั้งที่ 12 (MC12) เมื่อปี 2565 หรือที่เรียกว่าความตกลงว่าด้วยการอุดหนุนประมงระยะที่ 1 ขาดสมาชิกอีกเพียง 6 รายเท่านั้นที่ต้องให้สัตยาบันความตกลงฯ เพื่อทำให้ความตกลงฯ มีผลบังคับใช้ได้ในที่สุด โดยสมาชิกที่ได้ให้สัตาบันความตกลงฯ แล้ว อาทิ สหรัฐอเมริกา จีน สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และแซมเบีย ซึ่งเป็นประเทศล่าสุดที่ได้ให้สัตยาบันความตกลงฯ
ในการประชุม MC12 สมาชิกของ WTO ทั้งหมดสามารถมีฉันทามติ (consensus) และสรุปผลการเจรจาความตกลงว่าด้วยการอุดหนุนประมงระยะที่ 1 ได้ ภายหลังจากที่ได้มีการเจรจามานานกว่า 20 ปี ตั้งแต่ปี 2544 ซึ่งถือเป็นความตกลงพหุภาคีด้านสิ่งแวดล้อมฉบับแรกที่สมาชิก WTO สามารถตกลงร่วมกันได้ภายหลังจากที่มีการก่อตั้ง WTO ขึ้นในปี 2538 โดยความตกลงฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาความยั่งยืนของทรัพยากรสัตว์น้ำทางทะเลผ่านการจัดทำกฎเกณฑ์เพื่อกำกับการให้การอุดหนุนแก่ภาคประมงของสมาชิก WTO และสอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยังยืนของสหประชาชาติ หรือ Sustainable Development Goal (SDG) ข้อที่ 14.6 ที่กำหนดให้สมาชิกห้ามให้การอุดหนุนที่เป็นอันตรายต่อทรัพยากรสัตว์น้ำทางทะเล ซึ่งสมาชิก WTO ได้ใช้เป็นอาณัติ (mandate) ของการเจรจา
ความตกลงว่าด้วยการอุดหนุนประมงระยะที่ 1 กำหนดกฎเกณฑ์ใน 3 ด้านสำคัญ ได้แก่ (1) ห้ามสมาชิกให้การอุดหนุนแก่เรือประมงหรือผู้ประกอบการประมงหลังจากถูกตัดสินว่ามีการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU Fishing) หรือกิจกรรมที่สนับสนุนการทำ IUU Fishing (2) ห้ามสมาชิกให้การอุดหนุนที่เกี่ยวข้องกับการทำประมงในกลุ่มสัตว์น้ำที่ถูกจับมากเกินควร (Overfished Stocks) ยกเว้นในกรณีที่สมาชิกมีการอุดหนุนเพื่อฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำ หรือมีการดำเนินมาตรการอื่นเพื่อฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำให้อยู่ในระดับที่ยั่งยืน ก็จะสามารถให้การอุดหนุนประมงในกลุ่มที่เป็น Overfished Stocks ต่อไปได้ และ (3) ห้ามสมาชิกให้การอุดหนุนที่เกี่ยวข้องกับการทำประมงในพื้นที่ทะเลหลวงซึ่งไม่มีหน่วยงานใดควบคุมดูแล รวมทั้งจะต้องให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษสำหรับการอุดหนุนเรือประมงที่ไม่ใช่เรือของตน และการอุดหนุนที่เกี่ยวข้องกับการทำประมงในพื้นที่ที่ไม่ทราบสถานะของทรัพยากรสัตว์น้ำ
สาเหตุที่ความตกลงดังกล่าวถูกเรียกว่าเป็นความตกลงระยะที่ 1 นั้น เนื่องจากในช่วงที่มีการเจรจาก่อนที่จะสามารถสรุปผลได้นั้น สมาชิก WTO แต่ละรายได้พยายามเสนอและผลักดันให้มีการจัดทำกฎเกณฑ์ในประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบริบทของการอุดหนุนและรักษาทรัพยากรสัตว์น้ำ อาทิ (1) การจัดทำกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการอุดหนุนที่นำไปสู่การทำประมงที่เกินศักยภาพและการทำประมงที่เกินขนาด (Overcapacity & Overfishing) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ได้รับการระบุอยู่ใน SDG ข้อที่ 14.6 เนื่องจากการอุดหนุนส่วนใหญ่ของสมาชิก WTO จะเข้าข่ายเป็นการอุดหนุนประเภทดังกล่าว เช่น การอุดหนุนเพื่อปรับปรุงเครื่องทำการประมง และการอุดหนุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้กับเรือประมง ที่ส่งผลให้ชาวประมงสามารถจับสัตว์น้ำได้มากเกินกว่าที่ควรจะเป็น (2) การแจ้งข้อมูลของเรือหรือผู้ประกอบการที่ใช้แรงงานบังคับ (forced labour) เพื่อป้องการใช้แรงงงานที่ผิดกฎหมายในภาคประมงและส่งผลให้มีศักยภาพในการจับสัตว์น้ำมากเกิน และ (3) การครอบคลุมเรื่องการอุดหนุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ให้ทุกภาคส่วน ไม่ได้จำกัดเฉพาะภาคประมงเท่านั้น อย่างไรก็ดี สมาชิกยังมีท่าทีที่แตกต่างกันมากถึงการจัดทำกฎเกณฑ์ในประเด็นดังกล่าวและไม่สามารถหาข้อสรุปร่วมกันได้ จนในที่สุดสมาชิกจึงตัดสินใจตัดประเด็นที่ยังมีความเห็นแตกต่างกันมากออกมาเพื่อไว้เจรจาในความตกลงระยะที่ 2 แทน และเพื่อเป็นการสร้างแรงผลักดันให้สมาชิก WTO เร่งเจรจาประเด็นที่เหลือดังกล่าวให้ได้ข้อสรุปโดยเร็วนั้น ในความตกลงฯ ระยะที่ 1 จึงได้กำหนดให้สมาชิกจะต้องเจรจาให้ได้ข้อสรุปในการจัดทำกกฎเกณฑ์เพิ่มเติมให้ครอบคลุมภายใน 4 ปี หลังจากที่ความตกลงฯ ระยะที่ 1 มีผลบังคับใช้มิเช่นนั้น ความตกลงฯ ระยะที่ 1 จะสิ้นสุดลง (terminated) เว้นเสียแต่ว่าคณะมนตรีใหญ่ของ WTO (General Council) มีมติเป็นอย่างอื่น โดยนับตั้งแต่สรุปผลการเจรจาความตกลงฯ ระยะที่ 1 เป็นต้นมา สมาชิก WTO ก็ได้มีการเจรจาความตกลงฯ ในระยะที่ 2 มาอย่างต่อเนื่องเพื่อพยายามให้ได้ข้อสรุปโดยเร็ว ซึ่ง คผท. จะมาเล่าให้ฟังถึงความคืบหน้าของการเจรจาความตกลงฯ ระยะที่ 2 ในบทความต่อไป
ทั้งนี้ ความตกลงที่จัดตั้ง WTO ได้กำหนดให้ต้องมีสมาชิก WTO จำนวน 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด หรือคิดเป็นประมาณ 111 รายจากทั้งหมด 166 ราย ให้สัตยาบันความตกลงฯ จึงจะทำให้ความตกลงฯ มีผลบังคับใช้และสามารถผนวกความตกลงว่าด้วยการอุดหนุนประมงดังกล่าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของความตกลง WTO ได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งจากการสอบถามสำนักเลขาธิการ WTO ทราบว่า ขณะนี้มีสมาชิก WTO หลายรายที่รัฐสภาได้ให้ความเห็นชอบต่อการให้สัตยาบันความตกลงฯ แล้ว โดยมีสมาชิกประมาณ 5 ราย ที่คาดว่าจะให้สัตยาบันความตกลงฯ ได้ในเร็ววัน จึงมีแนวโน้มที่ความตกลงฯ ระยะที่ 1 จะมีผลบังคับใช้ได้ในอนาคตอันใกล้
สำหรับการดำเนินการของไทยในการให้สัตยาบันความตกลงฯ นั้น ไทยให้ความสำคัญกับการดำเนินการต่างๆ เพื่อปกป้องและรักษาความยั่งยืนของทรัพยากรสัตว์น้ำทางทะเล และการปรับปรุงการทำประมง ซึ่งที่ผ่านมาไทยได้มีการปรับแก้กฎหมายประมงภายในประเทศ (พระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติม) เพื่อให้สอดรับกับบริบทในปัจจุบันมากขึ้น โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติได้มีมติ ให้ความเห็นชอบประกาศคณะกรรมการฯ เรื่อง มาตรการห้ามการอุดหนุนประมงตามความตกลงว่าด้วยการอุดหนุนประมง ภายใต้องค์การการค้าโลกแล้ว พร้อมทั้งมอบหมายกรมประมงเพื่อนำเสนอประกาศดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบและบังคับใช้ จากนั้นกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศจะดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ไทยสามารถให้สัตยาบันความตกลงฯ ได้โดยเร็วต่อไป ซึ่งหากมีความคืบหน้าเรื่องการให้สัตยาบันความตกลงฯ ของสมาชิก WTO และไทย ทาง คผท. จะมาเล่าให้ฟังในโอกาสแรกต่อไป