การค้าดิจิทัลเพื่อการพัฒนากับการหารือใน WTO
- pmtwmocgoth
- Aug 13, 2024
- 2 min read

Image from freepik.com
การค้าดิจิทัลมีพลวัตการเติบโตอย่างรวดเร็วในระบบเศรษฐกิจของโลก โดยจากเอกสาร Digital Trade for Development ซึ่งจัดทำโดย 5 องค์การระหว่างประเทศ ได้แก่ IMF OECD UN World Bank และ WTO เมื่อปี 2567 ระบุว่า มูลค่าการส่งออกบริการแบบดิจิทัล (Digitally Delivered Service) ทั่วโลกมีสูงถึง 3.82 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2565 หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 54 ของส่วนแบ่งของการส่งออกบริการทั่วโลกทั้งหมด
การค้าดิจิทัลและเทคโนโลยีดิจิทัลได้มีส่วนสำคัญในการส่งเสริมการค้าสินค้าและบริการรูปแบบใหม่ให้เพิ่มขึ้น โดยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การให้บริการคอมพิวเตอร์เป็นภาคบริการที่มีพลวัตมากที่สุด แต่ในปี 2565 การส่งออกบริการแบบดิจิทัล (Digitally Delivered Service) ที่ครอบคลุมธุรกิจ บริการวิชาชีพ และเทคนิค มีสัดส่วนถึงประมาณร้อยละ 40 รองลงมาคือ การให้บริการคอมพิวเตอร์ (ร้อยละ 20) การบริการทางการเงิน (ร้อยละ 16) และการบริการที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญา (ร้อยละ 12) ขณะที่ความต้องการในรูปแบบของการดาวน์โหลดเพลง ภาพยนตร์ หนังสือ และซอฟต์แวร์ ก็มีเพิ่มมากขึ้นด้วย รวมถึงมีการขยายตัวของแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งออนไลน์ e-books และซอฟต์แวร์สำหรับดาวน์โหลด ได้ช่วยให้การเข้าถึงบริการเป็นไปได้ง่ายขึ้นและมีค่าใช้จ่ายน้อยลง
นอกจากนี้ จากรายงานฯ ยังพบว่า ความต้องการผลิตภัณฑ์และดิจิทัลโซลูชั่นที่เป็นนวัตกรรมใหม่ยังมีเพิ่มมากขึ้น และตั้งแต่ปี 2555-2564 การส่งออกสินค้า ICT ทั่วโลกได้ขยายตัวขึ้นถึงร้อยละ 50 โดยมีมูลค่าประมาณ 2.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยประเทศในเอเชียยังคงเป็นผู้นำด้านการค้าสินค้า ICT ขณะที่ประเทศในภูมิภาคอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (LDCs) และประเทศที่กำลังพัฒนาหลายแห่งในแอฟริกายังคงมีสัดส่วนการค้าสินค้า ICT ค่อนข้างน้อย ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลมาจากความแตกต่างในการพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรม
แม้ว่าการค้าดิจิทัลจะเติบโตขึ้นมากขึ้นจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและทักษะความสามารถในการใช้เทคโนโลยีของผู้คน โดยจากสถิติ มีประชากรราว 5.4 พันล้านคน หรือร้อยละ 67 ของประชากรโลก สามารถเชื่อมต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ตได้ แต่ยังมีประชากรอีกราว 2.6 พันล้านคนหรือหนึ่งในสามของประชากรโลก ที่ยังคงออฟไลน์ ซึ่งส่วนใหญ่มีรายได้ต่ำและปานกลางถึงต่ำ อาศัยอยู่ในประเทศที่มีอัตราภาษีนำเข้าข้อมูลและอุปกรณ์เทคโนโลยีการสื่อสาร (ICT) ค่อนข้างสูง และมีข้อจำกัดเกี่ยวกับการนำเข้าบริการและมีการแข่งขันบริการโทรคมนาคมที่จำกัด
ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ นับตั้งแต่ปี 2541 WTO ได้มีการดำเนินการและหารือร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิก และจัดให้มีการทำแผนงานพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Work Program on E-commerce) ซึ่งเน้นสาระสำคัญเป็นพิเศษในประเด็นเรื่องการนำกฎเกณฑ์ของ WTO จะนำไปใช้กับ E-commerce ให้ได้ประโยชน์สูงสุดสำหรับประเทศสมาชิกที่มีความแตกต่างด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
ทั้งนี้ หลายฝ่ายมองว่า ประเด็นเกี่ยวกับ E-commerce อยู่ในขอบเขตของหลายความตกลงที่มีอยู่ของ WTO และเห็นว่า เพื่อเป็นการตอบสนองต่อรูปแบบการค้าที่เปลี่ยนไปและเพื่ออำนวยความสะดวกในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ E-commerce จำเป็นที่จะต้องมีการพิจารณาปรับปรุงกฎของ WTO ที่เกี่ยวข้องกับการค้าดิจิทัลที่มีอยู่
โดยภายใต้การเจรจาจัดทำความตกลงพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของ WTO (Joint Statement Initiative on Electronic Commerce: JSI) ที่ผ่านมา มีสมาชิกเข้าร่วมการเจรจากว่า 90 ประเทศ (รวมไทย) และล่าสุดได้มีการสรุปผลการเจรจาในช่วงการประชุมระดับเอกอัครราชทูตเมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา
ประธานร่วม (Co-convener) ของการเจรจาจัดทำความตกลงดังกล่าว ได้แก่ ผู้แทนจากออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ได้แถลงการณ์สรุปผลการเจรจาว่า ประเทศผู้ร่วมเจรจาได้ตระหนักถึงความสำคัญของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการสร้างโอกาสด้านการค้าและการพัฒนาอย่างครอบคลุม และบทบาทสำคัญของ WTO ในการสนับสนุนหลักการ ที่เปิดกว้าง โปร่งใส และไม่เลือกปฏิบัติ นอกจากนี้ ยังมองว่า ความสำเร็จของ การเจรจาจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการค้าดิจิทัล โดยเฉพาะกลุ่ม MSMEs และมีความจำเป็นที่จะต้องการให้ความสำคัญกับประเทศกำลังพัฒนาและประเทศ LDCs และความช่วยเหลือในการปฏิบัติตามพันธกรณีด้วย
โดยสาระสำคัญหลัก ๆ ของร่างความตกลงฯ ได้แก่ การสนับสนุนและอำนวยความสะดวกด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การเปิดกว้างสำหรับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น การยกเว้นภาษีศุลกากร การคุ้มครองผู้บริโภคและข้อมูลส่วนบุคคล ความโปร่งใส และการบริการโทรคมนาคม เป็นต้น
นอกจากนี้ ประเทศสมาชิกยังได้มีข้อริเริ่มความร่วมมือใหม่ให้ประเทศ LDCs เพื่อสนับสนุนการค้าดิจิทัลด้วย โดยเมื่อปี 2566 ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และสวิตเซอร์แลนด์ ได้เปิดตัวกรอบความร่วมมือ “E-commerce Capacity Building Framework” เพื่อสนับสนุนการมีส่วนร่วมในการพัฒนาของประเทศ LDCs ในการเจรจาและเข้าร่วม E-Commerce JSI และการเพิ่มโอกาสการค้าดิจิทัลด้วย
นอกเหนือจากนี้ WTO ยังได้ให้ความสำคัญกับเรื่องการต่ออายุยกเว้นการเก็บภาษีศุลกากรสำหรับการส่งผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นการชั่วคราว (Moratorium on Customs Duties on Electronic Transmission) โดยยังคงให้มีการทบทวนแนวปฏิบัตินี้ ทุกๆ สองปี หรือตามรอบการประชุมรัฐมนตรีการค้าโลก (Ministerial Conference: MC) โดยล่าสุด ในช่วงการประชุมรัฐมนตรีการค้า ครั้งที่ 13 (MC13) ยังได้มีการพิจารณาและเห็นชอบการดำเนินการดังกล่าวด้วย
ที่ผ่านมา สมาชิก WTO ได้แสดงความคิดเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับเรื่องการต่ออายุดังกล่าว โดยผู้สนับสนุนมองว่า การต่ออายุจะมีส่วนทำให้สามารถคาดการณ์เรื่องการค้าดิจิทัลได้ สามารถสร้างความยืดหยุ่นและการปรับตัวสำหรับการพัฒนาการค้าดิจิทัล สามารถส่งเสริมนวัตกรรม และช่วยลดต้นทุนทางการค้า อีกทั้งการเข้าถึงสินค้าจากต่างประเทศจะมีส่วนช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน สร้างความมั่นใจให้กับการลงในธุรกิจต่อไป ขณะที่ บางประเทศสมาชิกได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับการขาดความชัดเจนในขอบเขตของต่ออายุดังกล่าว รวมถึงต้นทุนเสียโอกาส รายได้ทางศุลกากร และการรักษาพื้นที่เชิงนโยบายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีด้วย
นอกจากนี้ ประเด็นเรื่องคำจำกัดความและขอบเขตของการส่งผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Transmission) ยังเป็นจุดที่มีความเห็นต่างระหว่างสมาชิก WTO โดยสมาชิกส่วนใหญ่เห็นว่า การส่งผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์จะรวมถึงเนื้อหา (Content) ที่กำลังส่ง ในขณะที่บางสมาชิกเห็นว่า จะครอบคลุมเฉพาะสื่อ (medium) ของผู้ให้บริการเท่านั้น อาทิ การส่งข้อมูลหรือจำนวนบิต (bit) ที่นำส่งข้อมูลดังกล่าว
สมาชิกยังคงมีความเห็นที่ไม่สอดคล้องกันว่า การต่ออายุควรรวมถึงการส่งออกบริการแบบดิจิทัลหรือไม่ และยังมีการอภิปรายเกี่ยวกับผลกระทบต่อรายได้ทางศุลกากร ทางเลือกวิธีการเพิ่มรายได้จากการส่งผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ ต้นทุนเสียโอกาสที่เกี่ยวข้อง และผลกระทบของเทคโนโลยีใหม่ เช่น การพิมพ์แบบ 3D เป็นต้น อีกทั้งบางส่วนยังมองว่า การเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) น่าจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการเก็บรายได้จากการค้าดิจิทัลได้ โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติระหว่างการจัดหาบริการในประเทศและจากการนำเข้า
อย่างไรก็ดี เพื่อให้ระบบการค้าดิจิทัลมีการพัฒนามากขึ้น เอกสาร Digital Trade for Development ระบุว่ามีความจำเป็นที่ประเทศต่าง ๆ จะต้องหารือร่วมกันในประเด็นที่เกี่ยวกับกฎระเบียบอื่น ๆ นอกเหนือจากการค้า โดยเฉพาะในเรื่องการจัดการการไหลของข้อมูลข้ามพรมแดน (Cross-border Data Flows) ซึ่งมีความสำคัญยิ่งต่อการเติบโตของการค้าดิจิทัล เรื่องการพัฒนานโยบายการแข่งขัน (Competition Policy) ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาตลาดดิจิทัลที่เปิดกว้างและมีพลวัต และเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภคออนไลน์ ที่จะช่วยสร้างความไว้วางใจในตลาดการค้าดิจิทัล โดยเฉพาะการแก้ไขและปรับปรุงความท้าทายที่สำคัญ ได้แก่ การมีข้อมูลที่ไม่เพียงพอสำหรับการให้ความรู้แก่ผู้บริโภคออนไลน์ การโฆษณาชวนเชื่อ ผลิตภัณฑ์และระบบการชำระเงินที่ไม่ปลอดภัยโดยไม่ได้รับอนุญาต การรวบรวมและการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า และการระงับข้อพิพาทและกลไกการแก้ไขที่ยังไม่ชัดเจนและไม่เพียงพอ เป็นต้น ซึ่งในเรื่องนี้ น่าจะได้มีการอภิปรายร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิกของ WTO ต่อไป
Daftar Link Dofollow
lapak7d
lapak7d
lapak7d
lapak7d
lapak7d
lapak7d
lapak7d
lapak7d
lapak7d
lapak7d
lapak7d
lapak7d
lapak7d
lapak7d
situs slot demo
slot demo X1000
scatter hitam
slot toto
situs slot online
situs slot online
situs slot online
situs slot
situs slot
situs slot
situs slot
situs slot
sudirman168
sudirman168
sudirman168
sudirman168
slot gacor
situs slot toto
situs toto
situs toto
situs toto
situs toto
slot gacor
slot gacor
toto singapure
situs toto 4d
toto slot 4d
pg soft mahjong2
mahjong2
pocari4d
pocari4d
pocari4d
pocari4d
pocari4d
pocari4d
pocari4d
pocari4d
terminalbet
terminalbet
situs slot gacor
data pemilu
utb bandung
universitas lampung
slot bonus new member
ksr88
ksr88
ksr88
ksr88
ksr88
Slot Dana
situs slot gacor hari ini
situs slot gacor
situs toto slot