เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2563 นาย Robert Lighthizer ผู้แทนการค้าของสหรัฐฯ ได้กล่าวในการถ่ายทอดผ่าน webcast ที่จัดขึ้นโดย Chatham House ว่าโลกควรจะกำจัดความตกลงการค้าเสรีแบบทวิภาคีออกไป เพื่อให้ได้ประโยชน์จากระบบการค้าแบบพหุภาคี โดยเขาได้กล่าวเรื่องนี้ในช่วงเวลาที่รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเจรจาข้อตกลงการค้าทวิภาคีกับสหราชอาณาจักรและเคนยา หลังจากบรรลุข้อตกลงกับจีนและญี่ปุ่นเมื่อไม่นานนี้ นอกจากนี้ยังมีความตกลงที่มีขึ้นระหว่างสหรัฐฯ เม็กซิโก และแคนาดาอีกด้วย

นาย Lighthizer ไม่เห็นด้วยกับประเทศที่อยู่ในระบบพหุภาคีแล้วกลับไปเป็นผู้เสนอเงื่อนไขเพิ่มเติมภายใต้ความตกลงแบบทวิภาคี โดยได้กล่าวถึงความตกลงการค้าทวิภาคีทั้ง 77 ฉบับของสหภาพยุโรปว่าเป็นหนึ่งในความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของระบบการค้าพหุภาคี โดยเปรียบการค้าทวิภาคีเหล่านั้นว่าเกือบจะเป็นลัทธิ ล่าอาณานิคมทางการค้าที่มีการเสนออัตราภาษีศุลกากรที่ดีกว่า ก่อให้เกิดการได้เปรียบที่เหนือกว่า

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทั้งสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปกำลังพูดคุยเกี่ยวกับข้อตกลงในการจำกัดการค้า แต่ยังไม่ได้มีการพูดคุยกันในเรื่องของการค้าเสรีเต็มรูปแบบ ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายจะต้องรวมตัวกันในช่วงการปฏิรูปขององค์การการค้าโลกและการตั้งคำถามเกี่ยวกับความตกลงการค้าเสรี โดยกล่าวว่าการค้าโลกจะต้องมีการปฏิรูป รวมถึงการจัดระบบอัตราใหม่ของอัตราภาษีศุลกากรทั่วโลก รวมถึงให้มีการนำระบบการระงับข้อพิพาทกลับไปสู่ การเจรจาตามหลักการเดิม โดยได้เน้นย้ำในเรื่องการคัดค้านของรัฐบาลสหรัฐฯ ต่อองค์กรอุทธรณ์ภายใต้กลไก การระงับข้อพิพาทขององค์การการค้าโลกในการสร้างหลักกฎหมายและเข้าสู่ระบบศาลโดยไม่ผ่านการเจรจา นอกจากนี้ ยังมีเรื่องกฎใหม่ในการทำข้อตกลงกับรูปแบบเศรษฐกิจที่ดำเนินกิจการโดยรัฐจีน ซึ่งหากองค์การการค้าโลกไม่สามารถทำข้อตกลงกับจีนและกิจการอื่นที่ดำเนินการโดยรัฐได้ สหรัฐฯ ก็อาจจำเป็นที่จะต้องพิจารณาในเรื่องการถอนตัวอีกครั้ง

นาย Lighthizer ไม่ได้กล่าวหรือให้ความเห็นมากนักเกี่ยวกับผู้ลงสมัครจำนวน 8 คนสำหรับตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลกคนต่อไป ถึงแม้เขาจะเคยให้ข้อสังเกตว่า นาย Liam Fox อดีตเลขาธิการการค้าของสหราชอาณาจักรจะเป็นหนึ่งคนที่มีความเหมาะสมที่สุด เขากล่าวว่าสหรัฐฯ จะรอคอยผู้อำนวยการใหญ่คนใหม่ที่มีความเข้าใจในความต้องการสำหรับการปฏิรูปขั้นพื้นฐานขององค์การการค้าโลก และมีเจตจำนงที่จะดำเนินการทำข้อตกลงทางการค้ากับจีนในประเด็นที่ต้องเดินหน้าต่อไป